ความหมายมลพิษทางอากาศ
มลพิษทางอากาศ
หมายถึง ภาวะอากาศที่มีสารเจือปนอยู่ในปริมาณที่สูงกว่าระดับปกติเป็นเวลา
นานพอที่จะทำให้เกิดอันตรายแก่มนุษย์ สัตว์ พืช หรือทรัพย์สินต่าง ๆ
อาจเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น ฝุ่นละอองจากลมพายุ ภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินไหว
ไฟไหม้ป่า ก๊าซธรรมชาติอากาศเสียที่เกิดขึ้น โดยธรรมชาติเป็นอันตรายต่อมนุษย์น้อยมาก
เพราะแหล่งกำเนิดอยู่ไกลและปริมาณที่เข้าสู่สภาพแวดล้อมของมนุษย์และสัตว์มีน้อย
กรณีที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ ได้แก่ มลพิษจากท่อไอเสีย ของรถยนต์จากโรงงานอุตสาหกรรมจากขบวนการผลิตจากกิจกรรมด้านการเกษตรจากการระเหย
ของก๊าซบางชนิด ซึ่งเกิดจากขยะมูลฝอยและของเสีย เป็นต้น
ประเภทมลพิษทางอากาศ
มลพิษทางอากาศอาจจำแนกออกเป็นประเภทใหญ่
ๆ ได้ 2 ประเภท
1. อนุภาคต่าง ๆ
อนุภาคที่ล่องลอยอยู่ในอากาศมีอยู่หลายชนิด เช่น ฝุ่น ขี้เถ้า เขม่า ฟูม ละออง
2.ก๊าซและไอต่าง ๆ เช่น ออกไซด์ต่าง ๆ ของคาร์บอน ออกไซด์ของไนโตรเจนในอากาศที่สำคัญ
ๆ ไฮโดรคาร์บอนต่าง ๆ
แหล่งกำเนิดมลพิษทางอากาศ
มลพิษทางอากาศจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติเป็นอันตรายต่อคนไทยน้อยมากเพราะแหล่งกำเนิดอยู่ไกล
เช่น ฝุ่นละอองจากพายุ ภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินไหว หรือ ไฟไหม้ป่า
ปริมาณสารพิษที่เข้าสู่สภาพแวดล้อมของมนุษย์และสัตว์มีน้อยกว่าการกระทำของมนุษย์
มนุษย์เป็นต้นเหตุที่ก่อให้เกิดปัญหามลพิษทางอากาศมากที่สุด แหล่งกำเนิดมลพิษทางอากาศ
ได้แก่
การคมนาคมขนส่ง
เกิดจากยานพาหนะที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ เช่น รถยนต์ เครื่องบิน
ยานพาหนะที่เพิ่มขึ้นจำนวนมากนี้
ทำให้มีไอเสียออกสู่บรรยากาศอย่างมากมาย ได้แก่
1.การคมนาคมทางบก เช่น
ทางรถยนต์
ถนนสายหลักในทวีปอเมริกาใต้
คือ ทางหลวงสายแพนอเมริกา [Pan-American Highway] เป็นเส้นทางที่เชื่อมต่อตั้งแต่มลรัฐอะแลสกาประเทศสหรัฐอเมริกา
ลงมาถึงเมืองซันติโกทางภาคใต้ของประเทศชิลี
โดยมีเส้นทางตัดเชื่อมไปยังเมืองหลวงและเมืองใหญ่ของประเทศต่างๆ
ในทวีปอเมริกาใต้มากกว่า 17 เมือง
รถราง
กรุงเทพมหานคร เป็นเมืองเดียวที่มีรถรางชมเมือง
ซึ่งประกอบด้วย 2 เส้นทางคือ
รถรางสายรอบกรุงรัตนโกสินทร์และรถรางเยาวราชปิดบริการชั่วคราว)
โดยความจริงแล้วในภาษาอังกฤษรถราง Tram หมายถึง รถที่ใช้ระบบไฟฟ้าเท่านั้น
แต่ในประเทศไทย ได้นำคำนี้มาใช้กับบริการรถเมล์ทัวร์รอบเมืองจึงถือเป็น
ระบบถนนไม่ใช่ระบบราง
รถไฟฟ้าขนส่งมวลชน
กรุงเทพมหานคร
เป็นเมืองเดียวที่มีระบบรถไฟฟ้า ซึ่งประกอบด้วย 3
ระบบ คือ รถไฟฟ้าบีทีเอส รถไฟฟ้ามหานคร และรถไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
ในอนาคต อาจมีความยาวเกือบ 400 กิโลเมตร
ในเขตกรุงเทพและปริมณฑล นอกจากนี้
ยังมีโครงรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนตามหัวเมืองในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ
ที่ส่วนใหญ่อยู่ระหว่างการศึกษาและออกแบบโครงการ
2. การคมนาคมทางน้ำ
การขนส่งทางน้ำ
(Water Transportation) เป็นการขนส่งที่มีต้นทุนต่อหน่วยต่ำที่สุดในบรรดาทางเลือกการขนส่งทั้งหมด
ไม่จำเป็นต้องสร้างเส้นทางขึ้นมา อาศัยเพียงเส้นทางที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติเป็นสำคัญเช่น
คลอง แม่น้ำ ทะเล และมหาสมุทร อย่างไรก็ตามการขนส่งทางน้ำเป็นการขนส่งที่ช้าที่สุด
ดังนั้นจึงเหมาะกับสินค้าที่ไม่มีข้อจำกัดเรื่องระยะเวลาส่งมอบสินค้า
มักจะเป็นสินค้าที่มีมูลค่าต่อหน่วยต่ำและขนส่งในปริมาณมากๆ เช่น วัสดุก่อสร้างจำพวกอิฐ
หิน ปูน ทราย เป็นต้น
การขนส่งทางน้ำอาจแบ่งย่อยออกเป็น 2
รูปแบบตามลักษณะของเส้นทางขนส่ง ได้แก่
- การขนส่งทางลำน้ำ (Inland Water Transportation) หมายถึง
การขนส่งทางน้ำที่ใช้สายน้ำในแผ่นดินเป็นเส้นทางขนส่งสินค้า ได้แก่
การขนส่งผ่านคลองและแม่น้ำ เส้นทางการขนส่งทางลำน้ำที่สำคัญของประเทศไทย คือ
แม่น้ำโขง เจ้าพระยา ท่าจีน ป่าสัก แม่กลองและบางปะกง แม่น้ำ ลำคลอง
เป็นเส้นทางที่ใช้ในการคมนาคมขนส่งทางน้ำภายในทวีปอเมริกาใต้
- การขนส่งทางทะเล (Sea and Ocean Transportation) หมายถึง
การขนส่งทางน้ำที่ผ่านทะเลและมหาสมุทร
การขนส่งรูปแบบนี้ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลในการก่อสร้างโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน
3. การคมนาคมทางอากาศ
การขนส่งทางอากาศ
(Air Transportation) เป็นรูปแบบการขนส่งที่ไปได้ไกลที่สุดและรวดเร็วที่สุด
แต่มีต้นทุนต่อหน่วยแพงที่สุด จำเป็นต้องก่อสร้างโครงสร้างสาธารณูปโภคจำนวนมหาศาลเพื่อรองรับรูปแบบการขนส่งทางอากาศทั้งระบบ
อีกทั้งต้องอาศัยระบบขนส่งสินค้าทางถนนเพื่อให้สินค้าไปถึงลูกค้าที่ปลายทางตามพื้นที่ต่างๆ
ได้ ปัจจุบันประเทศไทยมีสนามบินที่ให้บริการเชิงพาณิชย์ 35
แห่ง จำแนกออกเป็น
-
สนามบินระหว่างประเทศ (International Airports) ดำเนินการโดยบริษัทท่าอากาศยานไทยจำกัด (มหาชน) จำนวน 6 แห่ง ได้แก่ สนามบินดอนเมือง สุวรรณภูมิ เชียงใหม่ เชียงราย ภูเก็ต
และหาดใหญ่จังหวัดสงขลา
ปริมาณการขนส่งสินค้าของประเทศไทยเกือบทั้งหมดผ่านท่าอากาศยานเหล่านี้
- สนามบินภายในประเทศ (Domestic
Airports) เกือบทั้งหมดบริหารโดยกรมการขนส่งทางอากาศ กระทรวงคมนาคม
ยกเว้นสนามบินสุโขทัย สมุยและระนอง ซึ่งบริหารโดยบริษัท การบินกรุงเทพ
จำกัดนอกจากนี้ยังมีสนามบินอู่ตะเภา จังหวัดระยอง ซึ่งเป็นของกองทัพเรือ
4. การขนส่งทางท่อ
การขนส่งทางท่อ
เป็นระบบการขนส่งที่มีลักษณะเฉพาะเนื่องจากสินค้าที่ขนส่งต้องอยู่ในรูปของเหลว
เป็นการขนส่งทางเดียวจากแหล่งผลิตไปยังปลายทาง
ไม่มีการขนส่งเที่ยวกลับสินค้าที่นิยมขนส่งทางท่อ ได้แก่ น้ำ น้ำมันดิบ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและก๊าซธรรมชาติ
ในส่วนของน้ำมันนั้น มีผู้ให้บริการขนส่งน้ำมันทางท่ออยู่ 2 ราย ได้แก่ บริษัท
ท่อส่งปิโตรเลียมไทย จำกัด และบริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อ จำกัด
โรงงานอุตสาหกรรม เป็นแหล่งสำคัญที่ปล่อยสิ่งเจือปนออกมาสู่บรรยากาศทำให้อากาศเสีย โดยการใช้เครื่องจักรหรือแรงคน
เพื่อให้ผลิตได้ครั้งละมากๆ จนสามารถนำไปขายเป็นสินค้าได้ การแยกประเภทอุตสาหกรรม
อาจทำได้
ขบวนการผลิตที่ทำให้เกิดฝุ่น ขบวนการผลิตที่ทำให้เกิดฝุ่น
เช่น ฝุ่นละออง การบด การก่อสร้าง โรงโม่หิน เป็นต้น
กิจกรรมด้านการเกษตรกรรม เช่น การฉีดยาฆ่าแมลง ยาปราบวัชพืช การเผาไร่นา
ทำให้เกิดฝุ่นละอองและสารพวกไฮโดรคาร์บอน เกษตรกรรมยังคงเป็นอุตสาหกรรมที่เป็นอันตราย
และเกษตรกรทั่วโลกยังคงมีความเสี่ยงสูงของการบาดเจ็บที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน
โรคปอด การสูญเสียการได้ยินเนื่องจากเสียงรบกวน โรคผิวหนัง
อีกทั้งโรคมะเร็งบางชนิดที่เกี่ยวข้องกับการใช้สารเคมีและการสัมผัสแสงแดดเป็นเวลานาน
ในฟาร์มอุตสาหกรรม การบาดเจ็บมักเกี่ยวข้องกับการใช้เครื่องจักรกลการเกษตร
และสาเหตุหนึ่งของการบาดเจ็บร้ายแรงเนื่องจากการเกษตรในประเทศที่พัฒนาแล้วคือรถแทรกเตอร์พลิกคว่ำสารกำจัดศัตรูพืชและสารเคมีอื่นๆที่ใช้ในการทำฟาร์มยังสามารถเป็นอันตรายต่อสุขภาพของคนงาน
และการที่คนงานสัมผัสกับ
สารกำจัดศัตรูพืชอาจประสบปัญหาการเจ็บป่วยหรือมีบุตรที่มีความพิการแต่กำเนิด
การระเหยของก๊าซบางชนิด
สามารถแบ่งออกเป็น 3 แหล่งใหญ่ๆ ดังนี้
1. แหล่งที่มนุษย์สร้างขึ้น ได้แก่ โรงงานอุตสาหกรรม การจราจร
การเผาขยะมูลฝอย การผลิตพลังงานไฟฟ้า การใช้เชื้อเพลิงภายในบ้าน ฯลฯ
2. แหล่งธรรมชาติ ได้แก่ การระเบิดของภูเขาไฟ ไฟไหม้ป่า
การเน่าเปื่อย การหมัก การปลิวกระจายของดิน ฯลฯ
3. แหล่งกำเนิดอื่นๆ ได้แก่
แหล่งที่เกิดปัญหามลพิษทางอากาศจากการรวมตัวทางปฏิกิริยาเคมีจากแหล่งต่างๆ ซึ่งจะทำให้เกิดการรวมตัวทางเคมี
เช่น การเกิดปฏิกิริยา photochemical smog ฝนกรด อนุภาคซัลเฟตและไนเตรท โดยทั่วไป
ขยะมูลฝอยและของเสีย เช่น กองขยะ
การเผาขยะ จากการที่จำนวนประชากรเพิ่มมากขึ้น
ส่งผลให้สภาพความเป็นอยู่ของประชาชนเปลี่ยนแปลงไป
ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมการอุปโภคบริโภคสินค้า การเพิ่มขึ้นของชุมชน
การขยายตัวของที่อยู่อาศัย การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ทำให้มีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติเป็นจำนวนมาก
มีของเสียเหลือทิ้งออกมาในรูปต่างๆ เจือปนอยู่ในสิ่งแวดล้อม
ซึ่งทำให้ความสมดุลของธรรมชาติสูญเสียไป
ผลกระทบมลพิษทางอากาศ
1 มลพิษของอากาศที่มีต่อบรรยากาศ
2. มลพิษทางอากาศที่มีผลต่อพืช
3. มลพิษทางอากาศที่มีผลต่อสัตว์
4. ผลต่อวัตถุและทรัพย์สิน
5. มลพิษทางอากาศที่มีผลกระทบทางด้านสุขภาพ
6. มลพิษทางอากาศที่มีผลกระทบทางด้านสุขภาพจากมลพิษทางอากาศโดยทั่วไป
7. มลพิษที่มีผลต่อสิ่งแวดล้อมรอบตัวมนุษย์เสียไป
8.มลพิษทางอากาศที่มีผลกระทบด้านนิเวศวิทยา
แถบขั้วโลกได้รับผลกระทบมากสุดและก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย
9. มลพิษที่มีผลกระทบด้านเศรษฐกิจ
รัฐที่เป็นเกาะเล็ก ๆ
ของทวีปอเมริกาจะได้รับผลจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นกัดกร่อนชายฝั่ง
การควบคุมฝุ่นละออง
แหล่งที่มาของฝุ่นละอองในบรรยากาศ
โดยทั่วไปจะแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ คือ
1. ฝุ่นละอองที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ (Natural
Particle) เกิดจากกระแสลมที่พัดผ่านตามธรรมชาติ ทำให้เกิดฝุ่น เช่น
ดิน ทราย ละอองน้ำ เขม่าควันจากไฟป่า ฝุ่นเกลือจากทะเล
2. ฝุ่นละอองที่เกิดจากกิจกรรมที่มนุษย์ (Man-made
Particle)
2.1 การคมนาคม
2.2 การก่อสร้าง
2.3 การขนส่งวัสดุ
2.4 โรงงานอุตสาหกรรม
การตรวจวัดสารมลพิษทางอากาศ
ประเทศต่างๆ มีระบบกฎหมายและกฎระเบียบของตัวเองทางด้านมลสารเพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชน
และเพื่ออนุรักษ์สภาวะแวดล้อมที่ใช้อยู่อาศัย
เพื่อให้กฎหมายและกฎระเบียบเหล่านี่ทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิผล
เป็นการจำเป็นที่จะต้องติดตามตรวจวัด (monitor)
ความเข้มข้นของสารในอากาศที่ออกจากแหล่งปล่อย และที่มีอยู่ในบรรยากาศโดยวิธีตรวจวัดที่แม่นยำและดีพอ
หลักเบื้องต้นในการตรวจวัดสารมลพิษทางอากาศ
การตรวจวัดความเข้มข้นของสารมลพิษทางอากาศ
เป็นงานที่ต้องการความประณีตและความถูกต้อง
ทั้งนี้เนื่องจากความเข้มข้นของสารมลพิษทางอากาศมีค่าความเข้มข้นต่ำ
อยู่ในระดับส่วนพันล้านส่วน (ppb)
การเก็บตัวอย่างและการตรวจวัด
1.การเก็บตัวอย่าง (sampling)
เป็นการเก็บรวบรวมสิ่งที่ต้องการเพื่อนำไปวิเคราะห์และทดสอบ
2. การติดตามตรวจวัด (monitoring)
เป็นการเก็บตัวอย่างและตรวจวัดสารมลพิษทางอากาศเป็นช่วงระยะเวลาหนึ่งจากแหล่งกำเนิดที่เฉพาะเจาะจง
การตรวจวัดสารมลพิษทางอากาศ
การตรวจวัดสารมลพิษทางอากาศจำแนกออกได้ตามวัตถุประสงค์และลักษณะของสารมลพิษนั้น
สามารถจำแนกเป็นกลุ่ม ดังนี้
1.การตรวจวัดสารมลพิษทางอากาศในบรรยากาศหรือภายนอกอาคาร
(ambient or outdoor air sampling)
เพื่อตรวจวัดระดับความเข้มข้นเปรียบเทียบกับมาตรฐานคุณภาพอากาศในบรรยากาศ
2.การตรวจวัดสารมลพิษทางอากาศที่ระบายจากแหล่งกำเนิด (source
air sampling) ได้แก่ การระบายสารมลพิษทางอากาศจากปล่องควัน (stack) และจากท่อไอเสียของยานพาหนะ เป็นต้น
3.การตรวจวัดสารมลพิษทางอากาศภายในสถานประกอบการหรือภายในอาคาร
(industrial or indoor air sampling)
4.การตรวจวัดสารมลพิษทางอากาศเพื่อศึกษาผลกระทบเฉพาะบุคคล
(personal air sam-pling)
5.การตรวจวัดเพื่อควบคุมประสิทธิภาพของเครื่องหรืออุปกรณ์บำบัดสารมลพิษทางอากาศ
ปัจจัยทางด้านอุตุนิยมวิทยาต่อคุณภาพอากาศ
การจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมด้านอากาศ
(Air Quality Management)
จากที่ได้กล่าวมาทั้งหมดในเบื้องต้น ได้แสดงให้เห็นถึงส่วนประกอบของระบบของภาวะมลพิษทางอากาศที่เกิดขึ้น ที่จะกล่าวต่อไปนี้ จะเกี่ยวกับการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมด้านอากาศ (Air Quality Management) ซึ่งจะนำไปสู่การควบคุม ป้องกัน และแก้ไขภาวะมลพิษทาง
อากาศ เพื่อให้ได้มาซึ่งคุณภาพอากาศที่ดี
จากที่ได้กล่าวมาทั้งหมดในเบื้องต้น ได้แสดงให้เห็นถึงส่วนประกอบของระบบของภาวะมลพิษทางอากาศที่เกิดขึ้น ที่จะกล่าวต่อไปนี้ จะเกี่ยวกับการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมด้านอากาศ (Air Quality Management) ซึ่งจะนำไปสู่การควบคุม ป้องกัน และแก้ไขภาวะมลพิษทาง
อากาศ เพื่อให้ได้มาซึ่งคุณภาพอากาศที่ดี
เกณฑ์คุณภาพอากาศ (Air Quality Criteria) เป็นเกณฑ์ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลและผลการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ซึ่งบ่งบอกถึงผลเสียหายและอันตรายของสารมลพิษทางอากาศแตะละชนิดที่จะเกิดขึ้น
หากสัมผัสกับสารมลพิษทางอากาศนั้น ๆ ที่ระดับความเข้มข้นและระยะเวลาสัมผัสต่าง ๆ
กัน ดังนั้น เกณฑ์คุณภาพอากาศจะมีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ
มาตรฐานคุณภาพอากาศในบรรยากาศ (Ambient Air
Quality Standard) คือ เป้าหมายระดับคุณภาพอากาศ (Air Quality Goals) ที่ต้องการ ซึ่งแสดงอยู่ในรูปของความ เข้มข้นเฉลี่ยในช่วงระยะเวลาที่กำหนดไว้
ซึ่งสารมลพิษทางอากาศแต่ละชนิดที่ยอมให้มีได้ในบรรยากาศหรืออาจจะจำกัดจำนวนครั้งที่ยอมให้มีระดับเกินมาตรฐานในช่วงระยะเวลาที่กำหนดในการกำหนดมาตรฐานคุณภาพอากาศในบรรยากาศจะใช้ข้อมูลเกณฑ์คุณภาพอากาศเป็นพื้นฐานหลักแก่อาจจะต้องใช้ปัจจัยอื่น
ๆ ประกอบด้วย
มาตรฐานอากาศเสียจากแหล่งกำเนิด (Emission
Standards)
เป็นระดับจำกัดของปริมาณหรือความเข้มข้นของสารมลพิษทางอากาศชนิดต่าง
ๆ ที่ยินยอมให้ระบายออกจากแหล่งกำเนิดแต่ละประเภท การกำหนดมาตรฐานอากาศเสียจากแหล่งกำเนิด
สามารถทำให้ 2 ลักษณะ ดังนี้
1.
ใช้เกณฑ์คุณภาพอากาศและมาตรฐานคุณภาพอากาศในบรรยากาศเป็นเกณฑ์เป็นการกำหนดมาตรฐานอากาศเสียจากแหล่งกำเนิด
2. ใช้เทคโนโลยีการควบคุมเกณฑ์
เป็นการกำหนดมาตรฐานอากาศเสียจากแหล่งกำเนิด
การติดตามตรวจสอบการระบายอากาศเสียจากแหล่งกำเนิด
(Emission Inventory หรือ Emission Surveillance) เพื่อเป็นการควบคุมการระบายสารมลพิษ ทางอากาศจากแหล่งกำเนิดต่าง ๆ ให้เป็นไปตามมาตรฐานอากาศเสียจากแหล่งกำเนิดที่กำหนดไว้
การติดตามตรวจสอบคุณภาพอากาศในบรรยากาศ (Air Quality
Surveillance)
เป็นการติดตามตรวจวัดความเข้มข้นของสารมลพิษทางอากาศชนิดต่าง ๆ ในบรรยากาศเป็นประจำสม่ำเสมออย่างต่อเนื่อง
เป็นการติดตามตรวจวัดความเข้มข้นของสารมลพิษทางอากาศชนิดต่าง ๆ ในบรรยากาศเป็นประจำสม่ำเสมออย่างต่อเนื่อง
การติดตามตรวจสอบภาวะทางอุตุนิยมวิทยา (Meteorological
Surveillance) โดยปกติแล้วจะทำการติดตามตรวจสอบสภาวะทางอุตุนิยมวิทยาไปพร้อม ๆ
กับการติดตามตรวจ สอบคุณภาพอากาศในบรรยากาศ
การดำเนินการควบคุมมลพิษทางอากาศ (Air Pollution
Control Activities) เป็นการกำหนด ดำเนินการ และบังคับใช้มาตรการต่าง ๆ ในทางปฏิบัติ
การประชาสัมพันธ์ (Public Relations) จากที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้น จะเห็นได้
ว่าระบบของภาวะมลพิษทางอากาศมีความเกี่ยวข้องกับคนเป็นอย่างมาก การเกิดภาวะมลพิษทางอากาศส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากการกระทำของคน
การควบคุมก๊าซและไอ
ปัญหามลพิษทางอากาศ
เนื่องจากปัญหาเรื่องอากาศนับวันจะทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของความเจริญเติบโตของเมือง
การอุตสาหกรรม โดยเฉพาะตามเมืองใหญ่ ซึ่งมีการจราจรหนาแน่น มีโรงงานอุตสาหกรรมจำนวนมาก
มีประชากรอาศัยอยู่แออัด จำเป็นต้องมีการป้องกันแก้ไข
และควบคุมโดยตรงที่แหล่งกำเนิดมลพิษและดำเนินการปฎิบัติอย่างจริงจังโดยหน่วยงานของ
ภาครัฐ ที่มีหน้าที่ควบคุมดูแลแหล่งกำเนิดมลพิษ เช่น กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมโรงงานอุตสาหกกรม
กระทรวงคมนาคมโดยกราขนส่งทางบก และการเจ้าท่า กระทรวงมหาดไทยโดยกรมการปกครอง
และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุขโดยกรมอนามัย เป็นต้น
โดยมีแนวทางแก้ไขปัญหา ดังนี้
1. ภาครัฐ
2. ภาคเอกชน
การควบคุมก๊าซและไอยานพาหนะ
การจัดการ (Management)
มาตรการตั้งแต่การออกแบบ
การดำเนินการ การดูแลรักษา และการปฏิบัติอื่น ๆ นั้นสามารอื่น ๆ
นั้นสามารถที่จะลดการปล่อยออกได้ การปรับปรุงการสันดาปให้มีประสิทธิภาพ
จำนวนของผลิตภัณฑ์ที่มีการสันดาปไม่สมบูรณ์
ส่วนประกอบของอนุภาคสารสามารถที่จะลดลงการทำให้เกิดการเติมเชื้อเพลิงที่เหมาะสม
และรูปแบบของห้องการสันดาปตามด้วยการให้มีอากาศพอเพียง
การสันดาปเชื้อเพลิง
การควบคุมการสันดาปนี้มีกลยุทธ์ 3 ประการ คือ
1. ลดอุณหภูมิสูงสุดในโซนของการสันดาป
2.
การลดระยะเวลาการคงอยู่ของแก็สในบริเวณที่อุณหภูมิสูงและ
3. การลดความเข้มข้นของออกซิเจนในบริเวณที่มีการสันดาป การเปลี่ยนแปลงกระบวนการสันดาปเหล่านี้อาจจะทำให้สำเร็จไม่ว่าจะเป็นการดัดแปลงกระบวนการหรือโดยดัดแปลงสภาวะการดำเนินงานเตาเผาที่มีอยู่
ปฎิกริยาพื้นฐานของการสันดาปสมบูรณ์
การเปลี่ยนปฏิกิริยาเคมี
การเปลี่ยนปฏิกิริยาเคมีเพื่อลดสารปนเปื้อนซึ่งรวมถึงปฏิกิริยาเคมีที่ใช้ในการสันดาปเชื้อเพลิงด้วยการเปลี่ยนชนิดของเชื้อเพลิงเพื่อผลในกรเปลี่ยนแปลงปฏิกิริยาเคมีในการสันดาปเชื้อเพลิงด้วย
เช่น
โรงงานผลิตกำมะถันซึ่งใช้วิธีการผลิตแบบกระบวนการสัมผัสชั้นเดียวซึ่งจะทำให้มีซัลเฟอร์ไดออกไซด์ถูกปล่อยออกมาประมาณ
2,000-3,000 พีพีเอ็ม
แต่เมื่อเปลี่ยนมาใช้วิธีการผลิตแบบกระบวนการสัมผัสแบบสองชั้นจะทำให้เหลือซัลเฟอร์ไดออกไซด์ออกมาจากปฏิกิริยาเพียง
400-500 พีพีเอ็ม
การระเหย
กระบวนการหรือวิธีการที่ต้องใช้ควบคุมการระเหยอาจจะทำให้ลดปริมาณการปล่อยสารมลพิษที่ถูกปล่อยออกมาจากการระเหยได้
เช่น โรงงานผลิตกรดดินประสิว
ถ้าใช้การดูดกลืนที่ความดันปกติจะทำให้ปริมาณของแก็สไนโตรเจนออกไซด์ที่ถูกปล่อยออกมาถึงประมาณ
1,500-2,500 พีพีเอ็ม
แต่ถ้าให้มีการดูดกลืนภายใต้ความดันสูงและมีการหล่อเย็นป้องกันการระเหย
จะทำให้ปริมาณของไนโตรเจนออกไซด์ลดลงเหลือประมาณ 500 พีพีเอ็ม
การติดตั้งอุปกรณ์เพื่อควบควมมลพิษจากท่อไอเสีย โดยแยกประเภทรถ ดังนี้
1.รถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซิลไร้สารตะกั่ว ติดตั้ง Catalytic
converters
2.รถยนต์ที่ใช้น้ำมันดีเซล ติดตั้งเครื่องกรองควันดำ
กลไกรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซิลไร้สารตะกั่ว
ติดตั้งโดย Catalytic converters
การควบคุมก๊าซและไอโรงงานอุตสาหกรรม
ห้องตะกอน
ห้องตกตะกอนเป็นวิธีพื้นฐานที่เก็บฝุ่นขนาดใหญ่ไว้ในที่จำกัดไม่ให้ฟุ้งกระจายจนอากาศนิ่งและฝุ่นหนักลงสู่พื้น
การเลือกใช้อุปกรณ์สำหรับกำจัดสารมลพิษนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างได้แก่
ประสิทธิภาพที่ต้องการในการกำจัด คุณสมบัติของสารมลพิษ เช่น อุณหภูมิ ความชื้อ
การละลาย ขนาดของอนุภาคความเข้มข้น ปริมาณของสารมลพิษและลักษณะของขบวนการผลิต
ดังนั้น จึงแยกอุปกรณ์กำจัดสาร
แยกอุปกรณ์กำจัดสาร มลพิษได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้
1. อุปกรณ์กำจัดฝุ่นหรืออนุภาค ได้แก่
-ไซโคลน (Cyclone) เครื่องเก็บฝุ่นด้วยแรงไฟฟ้าสถิต (Electrostatic precipitators) การใช้แรงดึงดูกระแสไฟฟ้าสถิตด้วยการทำให้อนุภาคที่อยู่ในแอโรซอลแสดงอำนาจของประจุไฟฟ้าแล้วทำการแยกอนุภาคด้วยใช้แรงดึงดูที่มีประจุตรงข้ามกันเข้าไว้ปล่อยให้อากาศจาการสารปนเปื้อนไหลออกสู่บรรยากาศ
2.อุปกรณ์กำจัดก๊าซและไอระเหย ได้แก่
-สครับเบอร์หรือเครื่องดูดซึมด้วยของเหลว (Wet
scrubber)
-เครื่องดูดซับบนของแข็ง (Adsorption)
-เตาเผา (After burner)
สครับเบอร์หรือเครื่องดูดซึมด้วยของเหลว
(Wet scrubber)
มาตราฐานคุณภาพอากาศ
มาตรฐานคุณภาพอากาศได้ถูกกำหนดขึ้นเพื่อประโยชน์ต่อการใช้กฎหมายเพื่อการควบคุมดูแลคุณภาพอากาศทั้งในบรรยากาศและในสถานที่ประกอบหรือบริเวณที่อาศัยให้อยู่ในระดับที่เกิดความปลอดภัย โดยเฉพาะต้องคำนึงถึงสุขภาพอนามัย ในการกำหนดมาตรฐานคุณภาพอากาศเพื่อความสะดวกต่อการดำเนินการควบคุมให้อยู่ในเกณฑ์ที่ปลอดภัยมักกำหนดเป็นมาตรฐานคุณภาพอากาศในบรรยากาศและมาตรฐานคุณภาพอากาศจากแหล่งกำเนิด |
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศ
กฏหมายที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศเป็นสิ่งที่จัดทำขึ้นหรือกำหนดขึ้นมา
เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการดำรงกลยุทธและบังคับใช้มาตรการต่างๆ ที่ได้วางไว้
ให้มีประสิทธิผลในทางปฏิบัติ ซึ่งจะนำไปสู่การควบคุมและแก้ไขภาวะมลพิษทางอากาศ
เพื่อรักษาอากาศให้มีคุณภาพที่ดี ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพอนามัยและความผาสุกของประชาชน
ตลอดจนไม่ทำให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งมีชีวิตและสภาวะแวดล้อมต่างๆ
มาตรา
64 – มาตรา 67
ห้ามมิให้นำยานพาหนะที่ก่อให้เกิดมลพิษเกินกว่ามาตรฐานควบคุมมลพิษจากแหล่งกำเนิดมาใช้
โดยให้ พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจสั่งให้ยานพาหนะหยุด
เพื่อตรวจสอบเครื่องยนต์และอุปกรณ์ของยานพาหนะนั้น และ
มีอำนาจสั่งห้ามใช้ยานพาหนะนั้นโดยเด็ดขาดหรือจนกว่าจะได้มีการแก้ไขปรับปรุงให้เป็นไปตามมาตรฐานโดย
การทำเครื่องหมาย ให้เห็นปรากฏเด่นชัด “ ห้ามใช้เด็ดขาด
” หรือ “ ห้ามใช้ชั่วคราว
” ณ ส่วนใดส่วนหนึ่งของยาน พาหนะ
ผู้ใดฝ่าฝืนคำสั่ง
ห้ามใช้ยานพาหนะของพนักงานเจ้าหน้าที่ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 5,000
บาท
(มาตรา 102)
มาตรา
81
ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นรวบรวมรายงานดังกล่าวส่งให้เจ้าพนักงานควบคุมมลพิษที่อำนาจหน้าที่ในเขตท้องถิ่นนั้น
เป็นประจำอย่างน้อยเดือนละครั้ง
มาตรา
83
เพื่อประโยชน์ในการประสานงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการควบคุมมลพิษทางอากาศ
ให้เจ้าพนักงานควบคุมมลพิษอาจเสนอแนะการสั่งปิด หรือพักใช้ หรือเพิกถอนใบอนุญาต
หรือการสั่งให้ หยุดใช้
หรือทำประโยชน์เกี่ยวกับแหล่งกำเนิดมลพิษที่ต้องถูกควบคุมการปล่อยอากาศเสีย
ตามาตรา 68 ที่จงไม่บำบัดอากาศเสียและลักลอบปล่อยทิ้งอากาศเสียออกสู่บรรยากาศต่อเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจควบคุมดูแลแหล่งกำเนิดมลพิษนั้นตามกฎหมาย
การควบคุมมลพิษจากยานยนต์
แบ่งออกเป็น 2 ประเภทได้แก่ การควบคุมมลพิษทางเสียง
และการควบคุมมลพิษทางอากาศ
1. การควบคุมมลพิษทางเสียงจากยานยนต์
เสียงดัง
เป็นปัญหาที่พบในเขตชุมชนและพื้นที่พัฒนาต่างๆ ที่มีการขยายตัวของการคมนาคมขนส่งโดยเฉพาะกรุงเทพมหานครที่ประสบปัญหาอย่างต่อเนื่อง
มาตรฐานระดับเสียงโดยทั่วไป กำหนดค่าระดับเสียงเฉลี่ย 24 ชั่วโมง ไม่เกิน 70
เดซิเบล
ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่ประเมินอันตรายต่อการได้ยินจากการได้รับเสียงอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน
ระดับเสียงริมถนนในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
ปี 2540- 2548
สัดส่วนรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซินที่มีมลพิษทางเสียงเกินมาตรฐานในเขตกรุงเทพมหานครปี
2548
2. การควบคุมมลพิษทางอากาศจากยานยนต์
1) การออกกฎหมายควบคุม
ทางหน่วยงานของรัฐได้ออกกฎหมายเพื่อควบคุมมลพิษทางอากาศให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
ดังต่อไปนี้
• พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
พ.ศ . 2535
• พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ.2535
• พระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง
• พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ.2535
• พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535
• ประกาศกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม
• กฎกระทรวงต่าง ๆ
• พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ.2535
• พระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง
• พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ.2535
• พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535
• ประกาศกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม
• กฎกระทรวงต่าง ๆ
2) การกำหนดมาตรฐาน
(Air Quality Standards Control)
ถูกกำหนดขึ้นเพื่อประโยชน์ต่อการใช้กฎหมายเพื่อการควบคุมดูแลคุณภาพอากาศทั้งในบรรยากาศและในสถานที่ประกอบการหรือบริเวณที่อยู่อาศัยให้อยู่ในระดับที่เกิดความปลอดภัย
ฐานความรู้การจัดการกลิ่น
กลิ่นเป็นปัญหามลพิษอากาศที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญและเป็นปัญหาที่แก้ไขได้ยาก
เพื่อให้ผู้ประกอบการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีแนวทางในการแก้ปัญหาเรื่องกลิ่น
กรมควบคุมมลพิษร่วมกับสถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงได้จัดทำฐานความรู้เรื่องกลิ่นเพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้นำไปประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาเรื่องกลิ่นต่อไป
แหล่งกำเนิดกลิ่น
1. แหล่งกำเนิดกลิ่นจากโรงงานอุตสาหกรรม
กลิ่นที่เกิดจากอุตสาหกรรมมีมากมายหลายประเภท
สารที่ทำให้เกิดกลิ่นมีหลายชนิดส่วนใหญ่นั้นมักเป็นประเภทสารประกอบอินทรีย์ที่ระเหยง่าย
(Volatile Organic compounds) ที่ใช้ในอุตสาหกรรม
ตัวอย่างของอุตสาหกรรมที่มักจะทำให้เกิดมีกลิ่นได้แก่ โรงงานอุตสาหกรรมพลาสติก
โรงงานแก้ว โรงงานปลาป่น โรงงานฟอกหนัง โรงงานผลิตเคมีภัณฑ์ ต่างๆ
2.แหล่งกำเนิดกลิ่นจากระบบบำบัดน้ำเสีย
2.1 โรงงานบำบัดน้ำเสีย น้ำเสียที่มีสารอินทรีย์ปนเปื้อนหากทิ้งไว้ไม่บำบัดโดยเร็วทำให้เกิดกระบวนการย่อยสลายโดยแบคทีเรีย
เช่น การย่อยโปรตีนทำให้ไนโตรเจนและกำมะถันในโปรตีนเปลี่ยนเป็น แอมโมเนีย
และก๊าซไข่เน่า (H2S) ทำให้เกิด
กลิ่นเหม็นและน้ำเสียมีสภาพเป็นกรด บางส่วนของไนโตรเจนกลายเป็นกลิ่นคาวจัด
การป้องกันและแก้ไข
1.การแก้ปัญหาชั่วคราวคือ
ทำให้น้ำเสียเป็นด่างหรือเป็นกลาง ได้แก่ การเติมปูนขาว เพื่อลดการเกิดก๊าซไข่เน่า
(H2S) ซึ่งมีกลิ่นเหม็น
แต่เมื่อทิ้งไว้ระยะหนึ่งแบคทีเรียในน้ำเสียจะทำให้น้ำเกิดสภาพเป็นกรดและมีกลิ่นเหม็นได้อีก
จึงต้องมีการเติมปูนขาว เพื่อรักษาสภาพความเป็นด่างอยู่เสมอ
2.การบำบัดน้ำเสียสามารถเลือกใช้ระบบแบบไร้อากาศ (Anaerobic)
เพื่อย่อยสลายสารอินทรีย์
โดยทำในระบบปิดเป็นการป้องกันไม่ให้กลิ่นระบายออกสู่ภายนอก
อาจเลือกใช้ระบบแบบใช้อากาศ (Aerobic) ที่มีระบบรวบรวมและบำบัดกลิ่นประกอบ
หรือใช้ทั้ง 2 แบบร่วมกัน
3.ควบคุมกลิ่นที่เกิดขึ้นโดยเลือกใช้วิธีบำบัดตามความเหมาะสม
ได้แก่ ระบบการเผาไหม้โดยตรง ระบบ สครับบิง ระบบดูดซับ และระบบชีวภาพ
3.แหล่งกำเนิดกลิ่นจากกิจการอื่น
3.1 อู่ซ่อมรถ โรงงานประกอบรถยนต์ ปัญหากลิ่นมักจะเกิดจากการระเหยของ ตัวทำละลาย
ซึ่งเป็นสารประเภทไฮโดรคาร์บอนที่ระเหยได้ ซึ่งเป็นส่วนผสมในสี
การใช้สีแบบพ่นจะสูญเสียมากกว่าการทาด้วยแปรง การพ่นสีรถ 1 คัน จะสิ้นเปลืองสีที่ไม่ติดวัตถุและกลายเป็นกากสีประมาณ 2 กิโลกรัม และตัวทำละลายอีก 0.5 กิโลกรัม
ควรรวบรวมกากสีและตัวทำละลายเหล่านี้ไปดำเนินการบำบัดต่อไป
การป้องกันและแก้ไข
1.พิจารณาเลือกสีที่ใช้น้ำเป็น ตัวทำละลายแทน
หรือใช้สารละเหยเป็นส่วนผสมน้อยลง
2.ใช้เทคโนโลยีการเคลือบสีที่ไม่ต้องใช้ตัวทำละลาย เช่น
Power coating
3.ปิดคลุมแหล่งกำเนิดกลิ่นอย่างมิดชิด
4.ควรมีระบบรวบรวมอากาศที่มีกลิ่นมาบำบัดโดยเลือกใช้วิธีบำบัดตามความเหมาะสม
ได้แก่ ใช้แผ่นกรอง Filter ใช้น้ำดักจับ ระบบการเผาไหม้โดยตรง และระบบดูดซับด้วยถ่านกัมมันต์
3.2 โรงพิมพ์ ปัญหากลิ่นในโรงงานประเภทนี้เกิดจากการระเหยของตัวทำละลายในหมึก
ได้แก่ Alcohol, Formaldehyde และสารประเภท Volatile
Organic Compounds (VOCs) เป็นตัวทำละลายที่มีกลิ่น
ซึ่งเป็นสารประเภทไฮโดรคาร์บอน
โดยปัญหาเกิดจากกระบวนการพิมพ์เคลือบจากการใช้สีและหมึกในปริมาณมากบนแผ่นโลหะ
กระป๋อง และฝาจีบ
การป้องกันและแก้ไข
1.พิจารณาเลือกใช้หมึกที่ใช้น้ำหรือมีสารระเหยน้อยเป็นส่วนผสม
2.เปลี่ยนตัวทำละลายหรือเลือกใช้สารทดแทนที่มี VOC
ต่ำ
3.ควบคุมการเก็บหมึกพิมพ์ในภาชนะบรรจุให้มิดชิดเพื่อป้องกันการระเหยของสารที่ทำให้เกิดกลิ่น
4.รวบรวมอากาศที่มีกลิ่นมาบำบัดโดยเลือกใช้วิธีบำบัดตามความเหมาะสม
ได้แก่ ระบบการเผาไหม้โดยตรง และระบบดูดซับด้วยถ่านกัมมันต์
องค์ประกอบของกลิ่น
กลิ่นที่เกิดจากอุตสาหกรรมมีหลายชนิดส่วนใหญ่มักเป็นสารอินทรีย์ที่ระเหยง่าย
กลิ่นที่เกิดจากกระบวนการอุตสาหกรรมแต่ละชนิดจะมีลักษณะเฉพาะตัว
ความรู้สึกรับรู้กลิ่นจะเพิ่มขึ้นตามความเข้มข้นของสารที่ทำให้เกิดกลิ่น การรับรู้กลิ่นและการตอบสนองต่อกลิ่นขึ้นอยู่กับความไวต่อการรับรู้กลิ่น
ซึ่งจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
ผลกระทบของกลิ่น
ความรู้สึกต่อกลิ่น
การรับรู้กลิ่นและการตอบสนองต่อกลิ่นขึ้นอยู่กับความไวต่อการรับรู้กลิ่นซึ่งจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
ถ้าบุคคลมีความรู้สึกไวต่อกลิ่นก็จะมีปัญหาร้องเรียนเรื่องกลิ่นอยู่เสมอ
ในทางตรงข้ามถ้าบุคคลมีความรู้สึกชินต่อกลิ่นก็จะสูดดมกลิ่นโดยไม่รู้สึกว่าเดือดร้อนรำคาญแต่อย่างใด
และไม่ได้มีการร้องเรียนเพื่อให้มีการแก้ปัญหาเรื่องกลิ่น
ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
ความซับซ้อนในเรื่องการตอบสนองของคนที่มีต่อกลิ่นที่จะเห็นได้จากในกรณีที่คนบางคนได้รับกลิ่นบางชนิดเป็นระยะเวลานานก็จะกลายเป็นคนที่มีความรู้สึกช้าต่อกลิ่นนั้น
เมื่อเทียบกับคนอื่นที่ไม่เคยได้กลิ่นนั้นมาก่อน
ความสัมพันธ์ของความเข้มของกลิ่นกับการตอบสนองของคนต่อกลิ่น
ความเข้มของกลิ่นมีความสัมพันธ์กับระดับความรู้สึกของประสาทรับกลิ่นที่เกิดขึ้น
เมื่อได้กลิ่นสารความรู้สึกรับรู้กลิ่นจะเพิ่มขึ้นตามความเข้มข้นของสารตัวอย่าง
สตีเวนส์ (Stevens; 1961) ได้สร้างสมการแสดงความสัมพันธ์ระหว่างค่าความรู้สึกถึงความเข้มของกลิ่นที่ได้
และความเข้มข้นของสาร
กฎหมายระเบียบที่เกี่ยวข้อง
มาตรฐานคุณภาพอากาศที่เกี่ยวกับกลิ่นในประเทศไทย ในปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีข้อกำหนดทางกฎหมาย
หรือค่ามาตรฐานสำหรับการควบคุมปัญหากลิ่นเหม็นจากแหล่งกำเนิดต่าง ๆ โดยตรง
มีเพียงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องในด้านมาตรฐานควบคุมการปล่อยทิ้งสารมลพิษจากแหล่งกำเนิดและกฎเกณฑ์ในการควบคุมสิ่งที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญ
กฎหมายระเบียบที่เกี่ยวข้อง
มาตรฐานคุณภาพอากาศที่เกี่ยวกับกลิ่นในประเทศไทย
ในปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีข้อกำหนดทางกฎหมาย
หรือค่ามาตรฐานสำหรับการควบคุมปัญหากลิ่นเหม็นจากแหล่งกำเนิดต่าง ๆ โดยตรง
มีเพียงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องในด้านมาตรฐานควบคุมการปล่อยทิ้งสารมลพิษจากแหล่งกำเนิดและกฎเกณฑ์ในการควบคุมสิ่งที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญ
6 การแก้ไขปัญหา
การแก้ไขปัญหากลิ่นจากอุตสาหกรรม
1.การป้องกันและลดกลิ่นที่แหล่งกำเนิด
1.1การปรับปรุงกระบวนการผลิต
กรณีป้องกันการเกิดกลิ่นจากการบำบัดน้ำเสีย
การใช้สารเคมีที่ลดกลิ่นชั่วคราว เช่น Hydrogen
Peroxide Addition: 50% Solution เติมในน้ำเสียดิบที่เข้าโรงบำบัด
ป้องกันกลิ่นก๊าซไข่เน่า ประมาณ 0.20 บาท ต่อ ลบ.เมตรน้ำเสีย หรือ ใช้ Ferrous
Chloride ทำปฎิกิริยากับก๊าซจาก Anaerobic Digestor ป้องกันกลิ่นก๊าซไข่เน่า ค่าใช้จ่ายประมาณ คิวบิคเมตรของสลัดจ์ละ 4 บาท
1.2. การใช้วัสดุทดแทน
เปลี่ยนวัตถุดิบ เช่น
โรงงานเคยใช้ของสดที่อาจเน่าเสียระหว่างการเก็บรอการผลิต เช่น กระดูก
ก็ควรให้ผู้จัดส่งต้มมาให้สุกเสียก่อน จะได้ไม่เสียเร็วและไม่มีน้ำเสียเกิดขึ้นมากด้วย
1.3. การจัดการในสถานประกอบการ
โดยการออกแบบ เช่น
กรณีป้องกันการเกิดกลิ่นจากฟาร์ม Figure 3 - Crust
Formation on a Liquid Manure Storage
1.4. การป้องกันโดยใช้ระยะกันชน
พื้นที่กันชน 'Buffer Zone' โดยรอบเป็นวิธีที่ต้องมีพื้นที่มาก
เนื่องจากกลิ่นอาจไปถึงผู้รับที่อยู่ห่างมากได้ตามลม แม้จะมีการเจือจางบ้างก็ตาม
พื้นที่กันชนควรเป็นของโรงงานเอง
2.
ระบบการบำบัดกลิ่น ประเภทระบบบำบัดกลิ่น
1.การออกแบบเบื้องต้น
2.หลักการเลือกระบบบำบัดกลิ่นที่เหมาะสม
3.การประเมินค่าใช้จ่ายของการบำบัดกลิ่น
4.การป้องกันและลดกลิ่นที่แหล่งกำเนิด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น